วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

[OS] My Lingling [Wuxie]

My Lingling

: Fandom :
Daomu Biji (盜墓筆記)

: Rate :
PG

: NOPairing :

: Note :
เป็นฟิค AU ดัดแปลงจากฟิค Likes Cat. อีกทีค่ะ





ตอนเจอกันครั้งแรก 'หลิงหลิง' ก็ไม่เด็กแล้ว

เจ้าแมวพันธุ์ทักซิโด้ ที่มีขนดำขลับเป็นเงาแสนสวยและอุ้งมือเป็นถุงเท้าขาวนิ่มตัวนี้ แท้จริงแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นแมวเก็บตก


เนื่องจากคุณปู่เลี้ยงหมาไว้หลายตัว ทั้งเลี้ยงไว้ใช้งาน ทั้งเลี้ยงไว้ดูเล่น ก็สมกับฉายาหมาแก่อู๋ล่ะนะ

นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ค่อยชินกับแมว

แหงล่ะ ศัตรูตามธรรมชาติกันเลยน่ะนั่น แถมขนาดตัวพี่ๆที่บ้านก็รุ่นเฮฟวี่เวทกันทั้งนั้น แมวตัวใหญ่ยังไงก็ไม่เกินหมาหรอกนะ หลงมาโดนฟัดตายพอดี

ฉะนั้นพอเจอเจ้าตัวเล็กขนสีดำขลับที่ส่งเสียงร้องหงิงๆ ในกล่องลังตรงตรอกเล็กแคบระหว่างทางกลับร้าน ผมเลยเผลอจ้องซะนานสองนาน

ขนสีเข้มเปียกจนตัวลู่ ตาสีเดียวกับขนนั่นดำสนิท มันเรียวยาวและสวยเหมือนแก้วผลึก คล้ายกับอะไรสักอย่างที่ผมเคยเห็นเชียวล่ะ

รู้ตัวอีกทีก็เก็บกลับร้านซะแล้ว
ร่างในอ้อมแขนผอมเพรียปราดเปรียวและสวยงาม ผมไม่เคยเลี้ยงแมว จริงๆไม่เคยสนใจมาก่อนด้วยซ้ำ เพราะที่บ้านมีแต่หมา

และเพราะอยู่หนาวๆ มานานหรืออะไรสักอย่าง พอเจอตัวคนอุ่นๆ ก็ซุกอ้อน เอาหัวมาไถคลอเคลียกับอกผมซะงั้น
และพอลูบหัวที่ชื้นน้อยๆ ตาเรียวๆ ก็ปรือปิด

สบายอกสบายใจจนน่าอิจฉา
คิดดูแล้วคลับคล้ายคลับคลา เวลามองเจ้าตัวนี้ผมคุ้นตามาก แต่คิดไม่ออกซะทีว่าคุ้นกับอะไร

แมวตัวอื่น? ไม่ใช่แน่ เคยเลี้ยงที่ไหน

ประตูปิดสนิทตอนผมมาถึง หวังเหมิงเลิกงานตรงเวลาเสมอ ไม่เคยขาดหรือเกิน ผมล้วงมือไขกุญแจเข้าร้าน ทุลักทุเลนิดหน่อย แต่พอไหว

ข้างในเงียบเชียบและมืด.... ไม่สิ มีแสงสลัวบางๆ จากห้องถัดไป ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แต่คิดได้ว่าคงเป็นโคมไฟบนโต๊ะที่เผลอเปิดทิ้งไว้ล่ะมั้ง แล้วเดินเข้าครัวแทน รื้อๆ ดูในตู้เย็นว่ามีอะไรที่แมวน่าจะกินได้บ้าง

ปลา? นม? ความรู้เรื่องแมวผมมีแค่นี้แหละนะ
อู๋เสียนั่งยองๆ กอดเข่า มองเจ้าแมวขนสวยที่รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด

ลิ้นสีชมพูเลียแผล่บๆ กับชามที่ใส่นมอย่างเอร็ดอร่อย เพียงครู่เดียวก็หมดสิ้น ดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทที่คุ้นซะยิ่งกว่าคุ้น ซึ่งทำให้ผมติดใจจ้องเขม็ง

สีและรูปร่างที่ทำให้นึกถึงแก้วผลึกแสนสวย สามารถมองได้อย่างไม่รู้เบื่อ
หากพริบตาที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวกลมๆนั้น มันก็เผ่นพลิ้วไป

ผมมองค้าง ก่อนถอนหายใจว่าช่างมันเถอะ และลุกขึ้นยืน แสงสว่างที่สลัวเจือจางซึ่งเห็นแว่บแรก ทำให้ต้องเดินไปตามต้นกำเนิด


บานประตูที่เงื้อมไว้ถูกเปิดอย่างแผ่วเบา
ท่ามกลางเสียงเอี๊ยดอ๊าดและแสงไฟอันริบหรี่ ผมเห็นร่างสูง...ผอมบางของใครคนหนึ่งขดตัวอยู่

เสื้อผ้าสีเข้ม ผิวขาวซีด เส้นผมสีดำสนิทที่ปอยผมบางส่วนระลงมาปรกใบหน้า

จางฉี่หลิงดูราวกับกลุ่มก้อนอะไรสักอย่างที่กำลังจำศีลก็ไม่ปาน ใช้คำพูดแบบนี้อาจจะเป็นการดูถูกนายแบบอินเตอร์ที่กำลังมีชื่อเสียงอย่าง ผู้ได้ฉายา 'เจ้าชายยิ้มไม่เป็น' ไม่สักหน่อย

แต่ก็นะ..... ผมชินซะแล้วกับการเฝ้ามองเขาแบบนี้

ขณะที่คิดว่ากำลังจะทำยังไงกับเจ้าตัวดี ระหว่างปลุกไปนอนให้เป็นที่เป็นทางหรือปล่อยไว้เฉยๆ แบบนี้ ขาก็พาร่างตัวเองมายืนคร่อมเหนือร่างสูงเพรียวนั่นซะแล้ว

และวินาทีนั่นเองที่เปลือกตานั่นเปิดพรึ่บขึ้น ดวงตาเรียวยาวลืมขึ้นอย่างรวดเร็ว
สีดำสนิท.... เข้มจัดจนเหมือนแก้วผลึก

อู๋เสียรู้ในตอนนั้นเองว่าคุ้นตาเเมวตัวนั่นเพราะอะไร
ผมสีดำ ตาสีดำเหมือนแก้วที่สะท้อนเพียงความว่างเปล่า แถมพ่วงการไม่ยอมให้แตะต้องเนื้่อตัว ลำพังแค่จะจับมือ ผมยังต้องใช้สกิลเนียน แค่กๆ หาโอกาสเหมาะในการจับมือเรียวยาวคู่นั้นเลย

นายแบบหนุ่มผู้ไม่เคยยิ้ม
คนตรงหน้าเหมือนเเมวดำตัวนั้นไม่มีผิด





....หลังจากนั้นเพียงไม่นาน....

ดูเหมือนว่าร้านผมจะเป็นที่พักพิงใหม่ของเจ้าแมวแสนสวยนั่นเสียแล้ว ถึงจะไม่ขนาดว่าแวะมาทุกวัน แต่ในหนึ่งสัปดาห์จะมีกลุ่มก้อนสีดำปนขาวหนึ่งตัว มาแอบอาศัยนอนอยู่ในซอกมุมของร้านเสมอ จนผมเคยชินไปเสียแล้วกับการเห็นเจ้านี้ ถึงขั้นไปศึกษาการเลี้ยงแมวอย่างจริงจังและมีอาหารเม็ด อาหารเปียกชั้นดีไว้คอยท่าบริการ

เล่นเอานายอ้วนที่แวะมาเยี่ยมเยียนแซวว่า 'เทียนเจิ่นเป็นทาสแมวไปเสียแล้ว'

ผมส่ายหน้า เป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่ถึงขนาดนั้น แม้จะแอบตั้งชื่อเรียกมันไว้ในใจว่า 'หลิงหลิง' ก็ตามที

.....แต่ไม่เคยเรียกสักครั้งหรอกนะ....

จนกระทั่งอาทิตย์หนึ่ง 'หลิงหลิง' หายไป..... ไม่ใช่หายไปจากร้าน เพราะไม่เคยอยู่มาตั้งแต่แรก แต่หายไปจากชีวิตผมราวกับไม่เคยแวะเวียนมา

ไม่มีเสียงครางหงิงๆ ขออาหาร
ไม่มีเสียงแกร่กๆ ของเล็บที่ลับกับขาโต๊ะในห้องครัว หรืออุ้งเท้าที่กระโดดปีนเข้ามาทางหน้าต่าง

ไม่มีเลย.... แม้แต่เงาสีดำสนิทของเจ้าตัว

บอกตามตรงว่าผมใจหาย เหมือนอะไรสักอย่างหล่นร่วงจากมือไป

นายอ้วนตบบ่าผมหนักๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบว่ามันคงไปติดสัดที่ไหนหรือย้ายถิ่นไปแล้ว ตามประสาแมวพเนจรที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง

หากลางสังหรณ์ในอกข้างซ้ายร้องเตือนว่า มันไม่ใช่แบบนั้น..... ผมเป็นห่วงจนนั่งไม่ติดร้าน ไปเดินหามันซะทั่วเมืองก็ไม่พบเจอ

จะว่าไป... ผมยังไม่เคยย้อนกลับไปที่ตรอกที่เจอ 'หลิงหลิง' ครั้งแรกเลยนี่นะ


แล้วผมก็ได้พบร่างที่ตามหามาเสียหลายวัน

ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำจนเห็นเพียงภาพรางเลือน หยดน้ำไหลผ่านร่างที่ทอดนิ่งไม่ไหวติง เลือดสีเข้มเจือจางกลายเป็นสีแดงอ่อน

มือเท้าเย็น ชาไปทั่งร่าง
กลัวจนมือสั่นเป็นยังไง ผมได้รู้ในนาทีนั้นนั่นเอง


ผมทรุดลง บาดแผลทั่วตัว... เลือดออกเยอะมาก จนผมวางมือแทบไม่ถูกกลัวจะทำให้ 'หลิงหลิง' เจ็บมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่อยากตัดใจ จึงตัดสินใจจะค่อยๆ ประคองร่างนั้นไว้แนบอก ยังเต้นอยู่... ถึงจะอ่อนแรงมาก หัวใจก็ยังเต้นอยู่ ลมหายใจที่แผ่วเบานี้ด้วย


ปกติผมจะเป็นคนใส่ใจต่อกฎระเบียบการจราจรมาก แต่ในวันนั้นอย่าว่าแต่คันเร่งที่เหยียบไปจนมิด กี่แยกกี่ไฟแดงผมฝ่าแม่งหมด! กลัวว่าช้าไปสักนาทีหรือวินาทีเดียว สิ่งมีชีวิตบนเบาะที่ถูกช่วยไว้ได้จะสิ้นลมไปเสียก่อน



เงี๊ยว......
เสียงครวญน้อยๆ ในลำคอดึงสติผมกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ที่ตัวเองกำลังนอนซุกพุงกะทิของ 'หลิงหลิง' สุดที่รักอย่างสบายอารมณ์ ผิวเนื้ออุ่นกับขนนุ่มสลวยนี่ราวกับหมอนชั้นดี ทำงานมาเหนื่อยๆ นอนซบร่างนุ่มนิ่มนี้แล้วค่อยๆ ใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปตามแนวร่างปราดเปรียวก็แทบขึ้นสวรรค์ได้แล้ว

"ฉันนอนนานไปเหรอ? หลิงหลิง"

ผมผงกศีรษะขึ้นมา เมื่ออุ้งเท้านุ่มสีชมพูอ่อนนั่นฟาดแปะๆ ลงมาบนหัวผม ไม่หนักไปหรือเบาไป แต่พอให้ตื่นได้เต็มตาพอดู

ดวงตาสีดำขลับหรี่มองราวกับจะเตือนถึงสิ่งที่ลืมเลือนไป และด้วยดวงตาคู่นี้ละม้ายคล้ายกับใครคนหนึ่งจนแทบจะเป็นพิมพ์เดียว ทำเอาผมแทบเด้งลุกขึ้นมายืนสองขาตัวตรงแน่วแทบไม่ทัน!

ชิบหายแล้ว! เสี่ยวหลิงกลับหังโจววันนี้นี่หว่า!!

สิ่งมีชีวิตสี่ขาตัวเดียวในบ้านเหยียดกายยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ก่อนจะเปรยตามองมนุษย์ที่ให้การดูแล(และต้องการการดูแล) คว้าของที่เป็นพวงๆ ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งกระทบกัน วิ่งกระหืดกระหอบออกจากบ้านไป

หางยาวๆ แกว่งไกวไปมาเล็กน้อยตามจังหวะย่างเท้า



....คงไปทันล่ะนะ........




Fin.


เขียนจากการยุยงของเพื่อนค่ะ

ส่วนตัวเลี้ยงแมวไว้ที่บ้านสองตัว เป็นทาสแมวไปแล้วอย่างจำยอม เลยถือโอกาสเอาฟิคเก่ามาดัดแปลงเล็กน้อย แล้วก็เสริมเพิ่มเติมไป จนมากลายเป็นฟิคนี้ค่ะ 55555555+







[OS] 盗墓笔记 - Spell - [51]

盗墓笔记  - Spell -  [ABO Dynamics] 

: Fandom :
Daomu Biji (盜墓筆記)

: Genre :
AU , Omegaverse [Alpha/Beta/Omega Dynamics]

: Rate :
R

: Pairing :
51
吴老狗 x  张启山
อู๋เหลาโก่ว x จางฉี่ซาน



: Note :

เป็นลักษณะวงจรความสัมพันธ์ของพวกหมาป่าที่จะมีจ่าฝูง ตัวเมีย ลูกฝูง อยู่ในกลุ่มสังคมค่ะ ในไทยไม่ค่อยนิยมงานแนวนี้เท่าไหร่ แฟนฟิคชั่นภาษาต่างประเทศจะมีเยอะกว่า


**แนวเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความนิยมเฉพาะกลุ่มนะคะ**


*ก็อปคำอธิบายมาจากสหายหมีอย่างหน้าด้านค่ะ ฮา*


เพื่อความต่อเนื่องและได้อรรถรส ย้อนไปอ่าน Sense ตอนก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ XD







เหตุผลที่อู๋เหลาโก่วเลือกใช้วิธีการที่ออกจะขี้โกงและร้ายกาจไปสักหน่อย ในการจู่โจมอีกฝ่ายในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด นั่นก็เพราะว่าช่วงที่อาการ 'ฮีท' กำเริบ สติสัมปชัญญะจะค่อยๆ เลือนหาย แทนที่ด้วยความต้องการตามสัญชาตญาณสืบพันธู์

สำหรับคนที่ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดีและไร้ที่ติแบบพ่อพระใหญ่จางแล้ว การที่ตัวเองขาดสติจนคล้อยตามความต้องการของร่างกายเป็นอะไรที่พังทลายศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างที่สุด

เดิมทีเขาคิดว่าคนคนนี้คงไม่เคยมีใครหาญกล้ำกรายหรือสามารถสร้างตราประทับเหนือร่างกายได้

หากผิดไปถนัดใจ...
ยามที่ดวงตาคู่นี้เห็นสัญลักษณ์ที่แม้จะเลือนรางและอ่อนจางด้วยวันเวลาที่ล่วงเลย ความรู้สึกหลายอย่างก็พลุ่งพล่านปะดังปะเดในใจอย่างเงียบงัน

ภายใต้ใบหน้าคลี่ยิ้มและน้ำเสียงรื่นเริง ราชาสุนัขรู้สึกริษยาและเสียดายไปพร้อมกัน

ริษยา.... คนแรกที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของและตีตราลงบนผิวกายคนคนนี้
และเสียดายที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ฝังคมเขี้ยวลงประทับตราตั้งแต่แรกเริ่ม

"ท่านจางตอนเด็ก.... ต้องสวยมากแน่ๆ"

นัยน์ตาเรียวยาวคมดุสีดำสนิท เช่นเดียวกับเส้นผมสีดำขลับสีเข้มราวกับขนนกกา โดดเด่นบนผิวขาวจัดเฉกเข่นคนทางเหนือ คาดว่าเพราะยามเยาว์วัยเจ้าตัวมักอาศัยในที่อากาศหนาวเหน็บ จึงได้ติดนิสัยสวมใส่อาภรณ์มิดชิดจรดไปถึงฝ่ามือเช่นนี้

รอยยิ้มบางแย้มขึ้นบนใบหน้าหมดจดสดใสดูไร้พิษสง ราวกับเขียนทุกความรู้สึกไว้บนนั้น

หากใครเลยจะล่วงรู้ ผู้ที่อ่านง่ายที่สุดหาใช่ผู้ใสซื่อไร้เดียงสา แต่เป็นผู้ที่เก็บงำซ่อนเร้นตัวตนได้ดียิ่งกว่าผู้ใดตั้งหาก

เปิดเผย แต่ไม่บอกเล่าทุกสิ่ง ให้เห็นแค่เฉพาะสิ่งที่ปรารถนาจะมอง

ฉะนั้นยามที่ได้เห็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีและสะกดกลั้นความปรารถนาตนเองได้กำลัง หอบหายใจอยู่ตรงหน้า เขาย่อมรู้สึกรื่นรมย์กว่าปกติ

เจ้าของห้องหอบหายใจหนักด้วยความเสียวซ่านที่แล่นระริกไปทั่วร่างกาย ทุกรูขุมขนคล้ายกับจะกรีดร้องออกมา เมื่อเลือดที่เดือดจัดในกายร้อนเร่าและอยากระบายความอัดอั้นที่สุมอยู่ภายในออกมา

เสียงครางเครือแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากริมฝีปากบางที่เพียรพยายามกักเก็บเสียงของตนไว้ในลำคอ

มือหยาบกร้านจากการกรำงานหนักด้วยวิชาชีพเลื่อนไล้ลงใต้ร่มผ้า สัมผัสผิวเนื้อร้อนผะผ่าว พลางโน้มลงคลอเคลีย ลมหายใจระรดอ้อยอิ่งตรงริมหู

"ท่านจาง..."
เสียงทุ้มนุ่มฟังดูเชื่องช้าและเนิบนาบกว่าความเป็นจริง ร่างกายที่อ่อนระทวยด้วยสัญชาตญาณเกร๊งจนสั่น ความทรงจำที่คละคลุ้งจากตะกอนเก่าไม่มีเรื่องดีสักอย่าง สติพร่ามัวเหือดหายไปพร้อมกับอาการสั่นสะท้านที่ควบคุมตัวเองไม่ได้รุนแรงขึ้น


ราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง ตัวเขาที่แสนรังเกียจและต่อต้านจนเลือกที่จะหนีจากอัลฟ่าเดิมมา สุดท้ายก็วนกลับมาซ้ำรอยเดิมอย่างไม่อาจหนีได้อีก


กลิ่นเฉพาะตัวของโอเมก้ายามนี้อบอวลและฟุ้งกระจายไปทั่ว กระตุ้นเร้าจนเขาที่พยายามแตะต้องอีกฝ่ายอย่างใจเย็นเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้บ้างแล้ว มือที่โลมไล้ไปทั่วร่าง จึงค่อยๆ เลื่อนลงต่ำบนสะโพกเพรียวและกดย้ำลงไปในด้านล่าง นิ้วที่นวดเคล้นลงไปทีละหนึ่ง สอง และสามตามลำดับสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดายด้วยหยาดหยดของสารหล่อลื่นที่หลั่งรินออกมาจากร่างกายในภาวะนี้

คนในอ้อมแขนสะดุ้งเฮือก ลมหายใจถี่กระขั้นขึ้นในจังหวะที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกจุดอ่อนไหวข้างใน เขาได้ยินเสียงฟันขบกันกรอดๆ อย่างอดทนอดกลั้น

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง และจงใจเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงครางต่ำที่ฟังดูแแว่วแผ่วจากที่ไกลๆ ดังขึ้น  กระแสอารมณ์และความปรารถนาที่เต้นระริกทำให้คนที่เข้มแข็งเสมอมาพังทลายจนแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน

ดวงตาสีดำสนิทราวกับหยดหมึกเคลือบคลอไปด้วยความรู้สึกต้องการและวอนขอ พร้อมกับริมฝีปากที่เผลออ้าออกจากการหอบหายใจ เป็นการยั่วยวนตามธรรมชาติ แขนกระชับร่างในอ้อมกอด โอบให้ชิดใกล้จนปลายทางด้านล้างเสียดสีกับของเขา

ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับประคองร่างอีกฝ่ายแล้วแทรกกายเข้าไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อดื่มด่ำกับความรู้สึกของการได้ครอบครองเป็นเจ้าของคนคนนี้

แรงกระทั้นเป็นจังหวะซึ่งกำลังขยับโยกเข้ามาในร่าง ทำให้หัวสมองของจางฉี่ซานขาวโพลนไปชั่วขณะ แล้วค่อยๆ จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ในความมืดมิดที่กำลังจะได้สัมผัสแสงสว่างปลายอุโมงค์ ที่เขานึกว่าตนเองจมหายไปกับมันแล้ว กลับยังมีส่วนที่ลึกลงไปกว่านั้น

ความสุขสมของร่างกายที่ถูกตอบสนองตามความเรียกร้องของสัญชาตญาณได้ถูกเติมเต็มจนล้นปรี่ สตินึกคิดทั้งหมดจางหายราวกับไม่เคยมีมาก่อน จู่ๆ มือที่กำลังตะเกียกตะกายเพื่อกลับไปสู่แสงสว่างคล้ายกับจะอ่อนแรงลง

เขา....ทิ้งตัวลงสู่ความมืดมิดที่อ้าแขนรอรับอยู่

มือผลักร่างของคนที่อยู่ด้านบนโดยแรงจนหงายหลัง ส่วนที่เชื่อมต่อกันยังคั่งค้างอยู่ แม้จะเปลี่ยนตำแหน่งจากล่างสู่บน

ชายหนุ่มเบิกตาค้างด้วยความตกตะลึง ก่อนจะหัวใจแทบหยุดเต้นลงจริงๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นนุ่มอุ่นที่บดเบียดลงมา สองมือประคองใบหน้าของเขาไว้ แล้วมอบจูบที่แสนเหลือเชื่อ

และแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อร่างสมส่วนนั้นวางมือลงบนแผ่นอกแล้ว ขาเพรียวยาวแนบชิดกับสีข้างยามที่เจ้าตัวหยัดกายขึ้นคร่อมกดจนร่างกายเขาแทบจมฟูก

ดวงตาแลเลยจากสะโพกเพรียวไปตามหน้าท้องแบนราบที่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์สวยงาม ความร้อนที่เดือดจัดในกายทำให้ผิวขาวจัดแดงระเรื่อมีหยดเหงื่อประปรายไหลเลื่อนลงมา

ท่ามกลางแสงเทียนที่ส่ายไหวในความมืด มีเงาร่างที่ขยับไหวล่อแสงเทียนและเสียงหอบครางต่ำดังผสานไปตลอดคืน








ลมโชยพายพัดนอกหน้าต่าง เสียงจิ้งหรีดเรไรแผ่วพลิ้วในสายลม
ยามเช้าของรุ่งอรุณถัดมา ค่อยๆ มาเยือนห้องนอนซึ่งผ่านพ้นความเร่าร้อนไปในย่ำค่ำ

ร่างกายที่ร้าวระบมไปทุกส่วนกับสัมผัสเหนียวเหนอะยังไม่ทำให้ตกตะลึงได้เท่ากับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของผู้ถือวิสาสะนอนกอดก่ายตนไว้เต็มอ้อมแขน ลมหายใจผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเป็นภาวะของคนหลับสนิท

ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยโทสะ และยามที่ขยับตัวหนีห่าง ด้านล่าง.... ในช่องทางที่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าล่วงล้ำเข้ามา กลับรู้สึกได้ถึงหยาดหยดที่คั่งค้างอยู่ภายใน

เร็วกว่าความคิด ขาที่เริ่มกลับมามีกำลังง้างถีบร่างของคนตรงหน้าโดยแรง!

เสียงของหนักตกพลั่กดังสนั่น ตามด้วยเสียงร้องโอดครวญจากความเจ็บน่าหงุดหงิด ก่อนเจ้าตัวจะโงหัวขึ้นมาพาดกับขอบเตียงตาใส ผู้เป็นเจ้าของห้องกัดฟันกรอด กระชากผ้าห่มมาคลุมร่างอย่างเสียไม่ได้เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่นั้น


“เจ้ารู้ช่วงเวลา ‘ฮีท’ ของข้าได้อย่างไร!”





แม้เอ่ยปากถามออกไปเช่นนั้น แต่ในใจของจางฉี่ซานกลับระบุตัวการณ์ที่อยู่เบื้องหลังเหตุวิปโยคของตนเองได้แล้ว ยามนั้นคิดว่าคงหวาดระแวงไปเองกับท่าทีดูไม่น่าไว้ใจของสหายสนิท และคงเป็นการมองในแง่ร้ายมากเกินไป สนิทสนทเอื้อเฟื้อกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ไม่มีเหตุผลใดให้ ‘คนคนนั้น’ ทำเรื่องที่เหมือนหักหลังกันได้

ทั้งที่น่าจะเอะใจสักนิด... ที่จู่ๆ กลับมีประเด็นเรื่องช่วงเวลาของเขากับป้านเจี๋ยหลี่ขึ้นในวงสนทนา

“....ให้เจ้าช่วย?”

ในคราวนั้นเขาถามกลับไป ดวงตาหรี่ลงเป็นสัญญาณเตือน ว่าอย่าได้ก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัว แต่อีกฝ่ายที่ชินชาเสียแล้วก็หาได้สนใจไม่ และตอบกลับมาอย่างรวดเร้ว

“ก็เจ้ากับท่านหลี่ลำบากมิใช่เหรอ? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าสบายมาก”

“.....”

ในมุมมองของผู้เหนือกว่าเช่น ‘อัลฟ่า’ การทำเช่นนั้นถือว่า ‘เล็กน้อย’ ก็จริงอยู่ แต่สำหรับ ‘โอเมก้า’ อย่างเขาทั้งคู่แล้ว เป็นการเสี่ยงเกินไป

และกับ ‘อัลฟ่า’ ผู้มีชื่อเสียงเรื่องความเจ้าชู้เลื่องลือและมี ‘โอเมก้า’ ในสังกัดปรนนิบัติพัดวีมากมาย จะมีหลักประกันใดที่ป้องกันได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้คิดรวบพวกตนเข้าเป็นหนึ่งในสมบัติครอบครอง

“สรุป?”
ความเงียบในวงสนทนาเป็นสิ่งที่เอ้อร์เย่ว์หงไม่ใคร่จะชื่นชอบนัก หนุ่มใหญ่วัยสามสิบปลายจึงได้เอ่ยปากถามซ้ำ

“เลือกเอาระหว่างไม้เท้ากับดาบข้าอยากตายด้วยอะไร?”
คำตอบไร้เยื่อใยและดุดันสมเป็นนายทหารผู้แข้งแกร่งก็ไม่ผิดดังคาดแต่อย่างใด หากเจ้าของคณะงิ้วชื่อดังก็ยังไม่สิ้นความพยายาม

“พวกเจ้าต้องเก็บตัวอยู่ด้วยกันประจำ ไม่กลัวโดนคนอื่นครหารึไงว่ากินกันเอง”

เหตุผลที่ยกมากระเส้าเลื่อนลอยและฟังไม่ขึ้น นายทหารสบตากับผู้ได้ฉายา ‘ปีศาจเฒ่าไม้เท้าแดง’ เป็นเชิงรู้กันอย่างสงบ

“ถ้าให้เจ้าช่วยข้ายอมกินยานอนหลับให้พ้นช่วงฮีทดีกว่า....”

“โหดร้าย ! พูดเหมือนข้าไม่เคยเห็นร่างเปลือยพวกเจ้า!! มากกว่าที่คนอื่นได้เห็นอีก ! “

เสียงแง่งอนราวกับเด็กน้อยถูกขัดใจ เนื่องด้วยเพื่อนผลักไสจากกลุ่ม กล่าวประท้วง เป็นเด็กน้อยจริงๆ ทำคงน่าเอ็นดูและชวนให้มองอย่างอ่อนอดอ่อนใจได้อยู่ แต่บัดนี้ผู้ทำมีอายุอานามมากโขเกินกว่าผู้เยาว์มานานแล้ว สิ่งที่ได้รับคือถ้อยคำกีดกั้นเย็นชาและสายตาแข็งกร้าวแทน

“แค่ดูไปก็พอเอ้อร์เย่ว์หง...”


เพราะอัลฟ่าน่ะ.... ไม่น่าไว้ใจสักคน




Fin?

ไหน... ไหนใครบอกจบส่วนของ 51 แล้วกันคะ? //เหม่อมองฟ้า แต่ตอนหน้าคงเป็นบทสรุปของคู่นี้แล้วล่ะค่ะ

เพราะจุดประสงค์ตอนต่อจริงๆ คืออยากร่วมตี้ท่านจางกับท่านหลี่ไปรุม เอ๊ย เอาคืน ท่านอาจารย์เย่ว์หงนะคะ ฮา

ปล.คู่ต่อไปของรุ่นปู่นี่เป็น.... 24 ค่ะ อจเย่ว์หงกับเฉินผีอาซื่อ XD


[OS] 盗墓笔记 - Sense - [51]

 盗墓笔记  - Sense -  [ABO Dynamics] 

: Fandom :
Daomu Biji (盜墓筆記)

: Genre :
AU , Omegaverse [Alpha/Beta/Omega Dynamics]

: Rate :
R

: Pairing :
51
吴老狗 x  张启山
อู๋เหลาโก่ว x จางฉี่ซาน



: Note :

เป็นลักษณะวงจรความสัมพันธ์ของพวกหมาป่าที่จะมีจ่าฝูง ตัวเมีย ลูกฝูง อยู่ในกลุ่มสังคมค่ะ ในไทยไม่ค่อยนิยมงานแนวนี้เท่าไหร่ แฟนฟิคชั่นภาษาต่างประเทศจะมีเยอะกว่า


**แนวเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความนิยมเฉพาะกลุ่มนะคะ**


*ก็อปคำอธิบายมาจากสหายหมีอย่างหน้าด้านค่ะ ฮา*










แปลก....
ไม่บ่อยครั้งนักที่สัญชาตญาณในส่วนลึกจะร้องเตือนเช่นนี้ แต่สำหรับความรู้สึกราวกับมีผู้เฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาที่รุนแรงขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันนี้ ทำให้จางฉี่ซานไม่อาจหยุดความนึกคิดที่ปั่นป่วนได้เลยแม้แต่น้อย

ยิ่งความรู้สึกกระสับกระส่าย.... ร้อนรุ่มราวกับมีเพลิงค่อยๆ สุมอยู่ภายใต้ผิวเนื้อหนัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ปรารถนาเลยแม้แต่น้อยกำลังลามเลียร่างกายนี้อีก เพียงแค่เพราะตัวตนที่ถือกำเนิดมานี้ไม่อาจต่อต้านสัญชาตญาณดังเดิมที่มีได้เลย

คงเริ่มมาจากวันนั้น ในงานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านเอ้อร์เย่ว์หง

ค่ำคืนที่ดวงจันทร์เพ็ญสาดแสงเต็มที ดอกไม้กลางคืนในสวนกรุ่นกลิ่นหอมกำจายไปทั่วบริเวณ มากมายเพียงพอที่จะกลบกลิ่นดับไอของเขาและแขกอีกผู้หนึ่งของเจ้าบ้านได้

แม้จะเป็นการหวาดระแวงมากเกินไป แต่เมื่อทั้งเขาและปั้นเจี่ยหลี่ได้ตกลงปลงใจว่าจะทำเช่นนี้ สองจากในสามเสียงก็เป็นฝ่ายชนะไป เสริมด้วยเหตุผลที่ว่า รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งใกล้ช่วงเวลา 'นั้นเขาทั้งคู่ยิ่งอยู่ในอันตราย แต่ก็ยังเปิดโต๊ะประชุมให้วุ่นวายอีก

'ทั้งเจ้าทั้งท่านหลี่ ล้วนปิดค่ายปิดเรือนในวันเวลาเดิม ไม่พบปะผู้คน ไม่ค้าขาย หลายปีมานี้ ใครต่างก็สงสัย ที่เก็บงำไม่เอ่ยคำ ด้วยเกรงใจอำนาจบารมี เราสามคน -สกุลบน- ก็จริงอยู่ แต่หากมีใครขุดคุ้ยขึ้นมา ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องดีมิใช่เหรอ?'

จางฉี่ซานถอนหายใจในคำกล่าวของสหาย และผู้ได้ฉายา 'เฒ่าไม้เท้าแดงก็เช่นกัน

คนเรามักมีความลับที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ได้เรื่องสองเรื่องด้วยกันทั้งนั้น เขาเองก็เช่นกัน
บ้านสกุล 'จางนั่นกล่าวได้ว่าเป็นบ้านที่ให้กำเนิด 'โอเมก้าอันล้ำค่าได้เป็นจำนวนมาก ซ้ำยังเปี่ยมด้วยคุณภาพทั้งรูปโฉมและกลิ่นอาย ใบหน้างดงามพริ้มเพรา น่ารักน่าเอ็นดู ฟีโรโมนพลุ่งพล่าน ความสามารถอื่นใดนอกเหนือจากเรื่องบนเตียงก็ล้วนเก่งกาจ ด้วยร่างกายที่แข็งแรงและสติปัญญาเลิศล้ำ จึงได้ใช้ประโยชน์เหล่านี้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่และผู้มีอำนาจมากมาย

โอเมก้านั่นหายากนัก ไม่ว่าจะเป็นโอเมก้าเพศชายหรือเพศหญิง

หากมีมิตรย่อมมีศัตรู ด้วยสถานการณ์ที่วุ่นวายของการเปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจในแดนเหนือ บิดาเขาจึงได้ตัดสินใจส่งครอบครัวหญิงลงใต้ก่อน แล้วรั้งรอกับเขาและพรรคพวกอีกจำนวนหนึ่งเพื่อจัดเตรียมข้าวของและเก็บกวาดพื้นที่ แต่ไหนเลยจะทันพวกที่ซุ่มรอฉวยโอกาสเข้าทำร้าย แม้นบิดาเขาพลีชีพ สละตนเพื่อให้เขาและลูกน้องที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือหนีไปก็ไม่อาจพ้น

ตกอยู่ภายใต้อำนาจตระกูลใหญ่ วันคืนที่ราวกับนรกบนดิน ตายเสียยังดีกว่าอยู่

สูญสิ้นซึ่งศักดิ์ศรีและอิสระภาพ ถูกทำตราประทับฝังคมเขี้ยวลงมาบนเรือนกายไม่ต่างจากสิ่งของ ถูกตักตวงช่วงใช้จากเรือนร่างยิ่งกว่าของเล่นมีชีวิต

เนิ่นนานนักกว่าจะอาศัยช่องว่างของการเปลี่ยนผลัดผู้คนและเชลยที่ถูกจับมากลุ่มใหญ่หลบหนีออกมาได้

จางฉี่ซานรวบรวมสมัครพรรคพวกที่แตกกระสานซ่านเซ็นให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว สร้างสมอำนาจ จนจัดการหนามยอกอกที่ทิ่มแทงและฝังอดีตไว้เบื้องหลังได้ตลอดกาล

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาเป็นโอเมก้าที่เคยถูกประทับตราจากอัลฟ่าทั้งสิ้น

หากแต่ธรรมชาติก็มิได้ปรานีผู้ที่อ่อนแอกว่าในห่วงโซ่นี้แม้แต่น้อย กฎเกณฑ์ธรรมชาติล้วนจีรัง ผู้เข้มแข็งรอด อ่อนแอตาย นอกจากยอมสยบศิโรราบแล้วไม่มีทางเลือกอื่นใด

เวลา 'นั้นคือช่วงที่อันตรายที่สุด

ช่วงเวลาที่ร่างกายเกิดอาการ 'ฮีทกลิ่นอายและฟีโรโมนจะค่อยๆ เริ่มปรากฏออกมา เชิญชวนอัลฟ่าให้ออกตามล่าเพื่อผสมพันธุ์ วงจรนี้ความถี่และระยะเวลาขึ้นอยู่กับวัยและความพร้อมของร่างกาย ในระยะแรกที่ยังเยาว์วัยนั่น เขาต้องหลบลี้เข้าสู่ป่าเขา ในถ้ำที่มิดชิดและปลอดภัยซึ่งเตรียมไว้ ขังตัวเองในนั้น ไม่ให้ฟีโรโมนเรียกใครต่อใครมากลุ้มรุมตนเอง แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะเสื่อมความสามารถในการสืบพันธุ์นี้ และค่อยๆ ปรับตัวกลายเป็นเพียงเบต้าธรรมดาทั่วไป ไร้กลิ่นไอเชิญชวนให้เข้าหา ไม่ต้องหลบซ่อนอีก

เกือบสามสิบปีที่ต้องอยู่อย่างหวั่นเกรง นับจากนี้ไปจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว

"ข้ามาช้างั้นเหรอ?"

ใบหน้ายิ้มแย้มดูไร้พิษสงเยี่ยมหน้าเข้ามา หลังจากส่งเสียงมาก่อนตัว พลางเชื้อเชิญให้สหายที่เดินเคียงนั่งลงข้างกัน ด้วยโต๊ะในศาลากลางสวนนี้เป็นโต๊ะทรงกลม ยามเมื่อคนผู้นั้นทรุดลงเรียบร้อยกับเก้าอี้แล้ว จึงได้ประสานสายตากับเขาที่พิจารณาเจ้าตัวอยู่แล้วเข้าพอดี

คนหนุ่มคลี่รอยยิ้มจริงใจออกมาก่อนเอ่ยแนะนำตัว ตามด้วยอีกผู้หนึ่งที่นิ่งเงียบกว่า บทสนทนาต่อไปจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าของบ้านอย่างเอ้อร์เย่ว์หง

อู๋เหลาโก่วและเซี่ยจิ่วเย๋

ชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบเบื้องหน้าทั้งคู่นั่น มีชื่อเสียงพอตัวในฐานะคนหนุ่มผู้มีความสามารถบุกฝ่าและก่อร่างสร้างฐานอำนาจให้แก่คนเองได้ตั้งแต่ในชั่วอายุตนเอง ทักษะอันไม่ธรรมดาและการคิดคำนวณอันลึกล้ำ ประกอบกับเชื้อสายที่ถึงไม่แน่ชัด แต่กลิ่นอายที่กดดันและชัดเจนเสียถึงขนาดนี้ เป็นหลักฐานอย่างดีว่าตรงหน้านี้หาใช่ชนชั้นธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเผ่าพันธุ์นักล่า 'อัลฟ่าด้วยเลือดอันเข้มข้นจากต้นตระกูลเลยทีเดียว

สัญชาตญาณระแวดระวังร้องเตือนขึ้นดังจนแสบหู แต่ด้วยกาลเวลาได้หล่อหลอมกายและใจมายาวนาน ประสบการณ์บ่มเพาะให้กิริยาอาการล้วนนิ่งสงบได้ ภายนอกนั้นแสดงออกเพียงแค่หรี่ตาจ้องมองเจ้าหนุ่มที่ยิ้มระรื่นเบื้องหน้า และเบือนสายตาคาดโทษไปยังสหายสนิทแทน

เอ้อร์เย่ว์หงลอยหน้าลอยตา ไร้อาการสำนึกผิดโดยสิ้นเขิง แต่ไหนแต่ไรก็ดิ้นเป็นปลาไหลอยู่แล้ว ถึงจะนับถือกันเป็นสหายสนิท แต่อย่างไรตัวเขาที่ด้อยกว่าตามธรรมชาติ เจ้าตัวก็มักถือโอกาสเย้าเล่นด้วยความสนุกสนานอยู่ดี

ครั้งนี้... ออกจะเป็นการ 'เล่นที่อันตรายต่อสวัสดิภาพเขาอยู่มากก็ตามที

หากแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ไม่เพียงแค่ลูกน้องที่ภักดีพร้อมสละตนปกป้องและพลีกายให้ใช้งาน ตัวเขาที่ฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอก็มิใช่ผู้ง่อยเปลี้ยให้ใครข่มเหงรังแกได้โดยง่ายดาย

นัยน์ตาเรียวยาวสบกับดวงตาสีเข้มของร่างเพรียวในชุดฉางซาน เช่นเดียวกับเขา ปั้นเจี่ยหลี่เองก็หาได้เป็นลูกไก่ในกำมือเช่นเผ่าพันธุ์ไม่

ในชั่วขณะหนึ่งนั้นจางฉี่ซานได้ลืมเลือนกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งไปโดยไม่ทันเฉลียวใจ เนื่องด้วยเก็บตัวมายาวนานและไม่ให้อัลฟ่าคนใดเข้าใกล้ชิดได้นอกจากเอ้อร์เย่วืหง จึงได้ไม่ทันฉุกใจคิดว่ายามที่อัลฟ่านั้นเข้าใกล้มากเพียงไร ช่วงระยะเวลาการ ‘ฮีท’ ที่มีแต่เดิมจะถูกเร่งเร้าให้ไวขึ้นเท่านั้น

ดอกไม้ในสวนบ้านท่านอาจารย์เย่ว์หงนั้นกลิ่นหอมรื่นชื่นใจดีแท้

เจ้าบ้านและเพื่อนสนิทข้างตัวเหล่มองคนพูดด้วยแววตาประหลาด ตัวเขาในตอนนั้นไม่อาจล่วงรู้ความนัยของประโยชน์นั้นเลยสักนิด

ความจริงที่ได้รับรู้ในภายหลังนั้นเล่นงานเขาแทบกระอั่กเลยทีเดียว

ราชาสุนัข ‘อู๋เหลาโก่ว’ นั่นสูญเสียประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นไปหลายปีแล้ว ดอกไม้หอมที่เจ้าตัวเอ่ยถึงหาใช่บุปฝางามในสวนสวยไม่

แต่เป็นกลิ่นอายของ -เหยื่อ- ที่เจ้าตัวหมายใจว่าจะร้อยรัดมาเป็นของตนตั้งหาก


ฉะนั้นยามเมื่ออาการฮีทเริ่มปรากฏจนฟีโรโมนและกลิ่นอายออกมาเร็วกว่ากำหนด ตัวเขาที่ยังไม่ได้เฉลียวใจ จึงพลาดสังเกตปฏิกิริยาของผู้ใต้บังคับบัญชาไป ถึงส่วนมากคนในบัญชาเขานั้นจะเป็น ‘โอเมก้า’ ที่รวบรวมมาเกาะกลุ่มเพื่อหมุนเวียนปกป้องกันและกัน แต่งานบางอย่างเสี่ยงเกินไปที่จะให้ตัวตนที่เป็นรองทางธรรมชาติเช่นพวกเขากระทำ จึงมีบางส่วนในหมู่คนงานเหล่านี้ที่เป็น ‘เบต้า

คำสั่งปิดเรือนใหญ่และขับไล่คนรับใช้ออกจากพื้นที่จึงเป็นไปอย่างกะทันหันมากทีเดียว อาการ 'ฮีทได้เข้าถึงช่วงที่เพิ่มสูงขึ้นที่สุดไปเสียแล้ว

จางฉี่ซานหอบหายใจหนักด้วยอุณหภูมิแล่นพล่านทั่วร่างอย่างหนักหน่วง หยดเหงื่อไหลตามขมับและเลื่อนไหลไปตามผิวกาย สมองต้องเพียรรักษาสติที่เริ่มวูบหาย และความชื้นเฉะเหนียวเหนอะจากส่วนลึกในกายที่หลั่งรินออกมาจากท่อนล่าง พาลให้ขาอ่อนยวบจนทรงตัวแทบไม่อยู่

เสียงข้าวของล้มระเนระนาดดังสนั่น แต่ไร้เงาร่างคนรับใช้ที่พลุกพล่านเช่นเคย มีเพียงเขาที่ประคองร่างกายอันซวนเซ ฟังเสียงเครื่องเคลือบและแจกันที่แตกกระจายเพียง...ลำพัง

ร่างกายกำลังฟ้องถึงธรรมชาติที่กำเนิดมา และประโยชน์แท้จริงซึ่งทำให้ 'โอเมก้านั่นเป็นสิ่งล้ำค่า พวกตนสามารถให้กำเนิดชีวิตใหม่ได้ม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นเช่นไร ชายหรือหญิงก็ตาม ในการสืบพันธุ์ที่แปลกประหลาและลึกลับนี้ ร่างกายของพวกเขาถูกสร้างขึ้นให้สามารถตั้งครรภ์ได้




"โอ๊ะ.... อาการฮีทเริ่มแล้วนี่ครับ เร็วกว่าที่รู้มาซะอีก"

เสียงทุ้มนุ่มเจือความเริงรื่นพรอดกระซิบ กลิ่นไอของ 'อัลฟ่าฟุ้งกระจายจนเขาแทบสำลัก ปลายนิ้วที่แตะลงบนผิวแก้มชื้นเหงื่อราวกับประจุไฟฟ้าที่แล่นเข้าสู่ร่างกายให้สั่นสะท้าน

"อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย"

รอยยิ้มจริงใจราวกับเด็กน้อยใสซื่อวาดขึ้นบนใบหน้าหมดจดดูไร้เดียงสา


สติดับวูบลงไปในชั่วขณะหนึ่ง รู้ตัวอีกทีจางฉี่ซานก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงในห้องของตนเรียบร้อยแล้ว และเมื่อลืมตาขึ้นเต็มที่ ใบหน้าแป้นแล้นของ -แขกไม่ได้รับเชิญ- ก็ลอยหน้าลอยตาคลอเคลียอยู่ไม่ห่างไกล

เจ้าตัวใช้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์กดดันจนไม่อาจต่อต้าน ในภาวะร่างกายเช่นนี้..... ธรรมชาติของ -โอเมก้า- จะเรียกร้องการเติมเต็มจาก -อัลฟ่า- อยู่แล้ว ยิ่งเป็น -อัลฟ่า- หนุ่มในวัยเจริญพันธุ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ กลิ่นอายที่จงใจปล่อยออกมาเป็นยิ่งกว่ายากล่อมประสาทให้เคลิบเคลิ้มมัวเมา

คนอายุมากกว่ากัดฟันกรอด

"ต้องการ.... อะไร"

ดวงตาเรียวยาวที่คมกริบดุจใบมีดสั่นไหว.... กึ่งๆ จะเลื่อนลอย ปราศจากซึ่งความน่าเกรงขามโดยปกติสิ้น พลังใจและทิฐิเท่านั้นที่ยังดึงรั้งสติเขาไม่ให้ซวนซบลงตอนนี้ ถึงแม้จะรู้แก่ใจว่าจะยื้อต่อไปได้อีกไม่นานก็ตามที

ปลายนิ้วที่เคยเอื้อมแตะผิวแก้มเลื่อนลงต่ำไปตามแนวสันกรามของใบหน้าได้รูปเหมาะเจาะ ซึ่งแม้วัยและเวลาอันล่วงเลยจะทำให้ความงดงามเช่นที่เคยมีหายไป แต่เสน่ห์อันเย้ายวนของโอเมก้าหาได้จางหายไม่แต่อย่างใด

จมูกเขาสูญเสียการรับรู้ถึงกลิ่นทั่วไปนานหลายปีแล้ว แต่กับกลิ่นอายอันหอมหวาน เชิญชวนให้ไขว่คว้ากลับรุนแรงเสียจนแทบจะอดใจไว้ไม่อยู่เมื่อแรกเจอ

อัลฟ่าทั่วไปมักใช้กลิ่นตัวเองมอมเมาให้อีกฝ่ายอ่อนระทวยแต่โดยดี และยอมตกอยู่ใต้ร่างอย่างไร้การขัดขืน แต่กับผู้ที่มีดวงตาสีนิลกร้าวแกร่งสวยงามเช่นนี้ ตัวเขาเห็นว่าวิธีเช่นนั้นดูจะง่ายดายและไม่รื่นรมย์เท่าที่ควรเอาซะเลย

คนอายุมากกว่าใช้แรงเฮือกสุดท้ายขืนตัวหนีเงื้อมมือที่เอื้อมมาหาอย่างสุดกำลัง แต่ทำได้เพียงถอยร่นไปจนมุมยังพนักหัวเตียงอันคุ้นเคยแทน

"ต่อให้เป็นโอเมก้า.... แต่อายุขนาดนั้นแทบจะสืบพันธุ์ไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ"

เสียงหอบพร่า ฟังแทบไม่เป็นคำท้วงถาม

"แล้วไงครับ?"

แต่สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าใสซื่อราวกับไร้พิษสงเช่นเดิม จางฉี่ซานไม่เคยนิยมความรุนแรง แต่นาทีนี้เขากลับนึกอยากประทับฝ่าเท้าบนใบหน้านั้นให้สาสมที่สุด!!

"เรื่องนั้นน่าเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ตัวผมนั้นรักสุนัขมากกว่าคนอยู่แล้ว ไม่มีลูกก็ไม่ได้หนักหนาอะไร"

หยาดหยดเหนียวหนืดที่หลั่งไหลจากส่วนลึกในร่าง ซึมชื้นออกมาจนเปรอะเปื้อนผืนผ้าด้านล่างเป็นด่างดวง พร้อมกับความรู้สึกของกลิ่นหวานหอมที่ดันขึ้นมาแสบลำคอและจมูกจนแทบสำลัก เครื่องแบบหนาหนักของทหารที่สวมใส่มิดชิดหลายชั้นก่อเกิดความร้อนรุ่มเจียนขาดใจ ยิ่งขยับหนีห่าง เนื้อผ้ายิ่งเสียดสีกับผิวกายมากขึ้น ริมฝีปากเม้มแน่นข่มกลั้นเสียงครางเครือที่จะหลุดรอดออกมา เวลาที่แย่ที่สุด ใกล้เข้ามาทุกที

มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว.... นานแสนนานจนเขาแทบจะลืมเลือนไปแล้ว ไม่สิ มันยังคงหลงเหลือเป็นแผลเป็นบนตัวเขาจนถึงตอนนี้ และท่ามกลางกลิ่นของอัลฟ่าที่อบอวลอยู่รายรอบตัวนี้ กระตุ้นเร้า ปลุกความทรงจำเก่าเก็บนั้นให้ตื่นขึ้นมา

"อา... รอยประทับนี้"

น้ำเสียงนั้นแสดงความเสียดายอย่างไม่ปิดบัง
ยามที่ร่างถูกกระชากเข้าไปจนชิดกับแผ่นอกอีกฝ่าย ลมหายใจอุ่นร้อน ตามติดด้วยคมเขี้ยวลากผ่านตราประทับที่เคยมี.... มันอ่อนจางและไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นมาก่อน

แต่ไม่เป็นไร…. ผมจะประทับมันลงไปใหม่เอง

แม้อยากผลักไสให้ไกลห่างเพียงใด แต่ร่างกายไม่อาจต่อต้านหรือดิ้นรนได้เลย เมื่อสติค่อยๆ จมดิ่งลงตามสัญชาตญาณที่ฉุดรั้ง ในห้วงนึกคิดที่พร่าเลือน ความรู้สึกเจ็บปวดของคมเขี้ยวที่ถูกกัดย้ำซ้ำไป...ซ้ำมาบนหลังคอนั้น ทำให้ไม่อาจเก็บกลั้นเสียงในลำคอได้อีกต่อไป

เสียงร้องหอบโหยและแหดแห้งด้วยความรวดร้าวดังสะท้อนในห้องอย่างเงียบงัน

ใต้แสงเทียนที่วูบไหว... ริมฝีปากที่ชื้นเปียกด้วยน้ำลายและเลือดไล้เลียผิวเนื้อราวหิวกระหาย สัมผัสร้อนเร่านั้นระเรื่อยต่ำลงมา ตามด้วยร่างของเขาที่ถูกกดจมหายไปกับฟูกนุ่ม

ฝ่ามือที่ปะป่ายไปอย่างไร้จุดหมายถูกจับรวบประสานไว้อย่างแน่นหนา ทั้งร่างกายที่ทาบทับโอบกอดลงมาราวกับกลัวจะหนีหาย

.....สิ่งสุดท้ายที่จดจำได้คือร่างกายที่โดนชำแรกแทรกเข้ามาอย่างจาบจ้วงและบดเบียดลงมาถือครองเท่านั้นเอง.....




อิสรภาพที่เคยไขว่คว้ามาได้หลุดลอยออกไป

เขาวิ่งหนีมาเนิ่นนาน...
อีกนิดเดียว... อีกเพียงนิดเดียว ก็จะได้ออกไปสัมผัสแสงที่ปลายอุโมงค์นั้นแล้ว

หากมือมืดที่ไม่รู้คืบคลานมาถึงตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กลับฉุดกระชากสองขาที่ก้าวออกไปให้จมลงสู่ความมืดมิดอีกครา


Fin.


เรียกได้ว่าเป็นการแต่งแล้วแลกกันอ่านกับเพื่อนมากกว่าการเผยแพร่โดยแท้ค่ะ 555555555+

เราชอบธีมโอเมก้าเวิร์สตรงความเอโร่ยที่มาพร้อมดราม่า แต่ในขณะเดียวกันก็มีความโรแมนติดของเรื่องคู่ลิขิต(SoulBond) 

แม้ว่าคู่เมนจะทำให้เอโร่ยปนเสื่อมมากกว่าก็ตาม ฮา

เดิมที่ซีรีส์นี้แต่งเสียผิงก่อนค่ะ แต่ปู่อู๋ดันแซงทางโค้งออกมาสำเร็จเสร็จสิ้นก่อนได้ เรื่องนี้รุ่นปู่ของเขาแรงจริงๆ ค่ะ XD




[Drabble] 印象 - ความประทับใจ- [ซันชุ่นติง]

印象 
[ ความประทับใจ ] 


Note : จากบทแปลเกี่ยวกับของปู่อู๋และปู่เซี่ย โดยคุณ reiin019 
[TRANS] พ่อสื่อจิ่วอู่ http://dmbjth.thai-forum.net/t693-topic

เป็นมุมมองของซันชุ่นติงนะคะ ฮา








“นายก็เหมือนกับเซี่ยจิ่วแหละ!”

ซันชุ่นติงไม่ชอบผู้หญิงคนนั้น
นาทีที่น้ำชาถูกสาดรดใส่ใบหน้าของเจ้าของอ้อมแขนที่โอบอุ้มตนไว้ในแขนเสื้อ จนก็ส่งเสียงคำรามดุทันที ฟันคมขาวแยกเขี้ยวกัดกรอดอย่างดุดันเท่าที่ทิเบเนี่ยนตัวหนึ่งจะทำให้น่าเกรงขามได้ 

อู๋เหลาโก่วเปิดยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้าแผ่วเบาเป็นเชิงไม่ถือสาหญิงคนนั้นจะปลอบให้ตนสงบลง 

ถ้าเป็นคนเขาคงค้อนขวับใส่ไปแล้ว เสียแต่เป็นสุนัข...สิ่งที่ทำเลยเป็นการครางหงิงๆ ไซร้หน้าเข้ากับฝ่ามือที่ลูบไล้บนเส้นขนนุ่มสีน้ำตาลอ่อนของตนแทน

“นั่นลูกสาวบ้านไหนน่ะ?” 

เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามกับเสี่ยวเอ้อร์ ขณะที่มือยังไงไม่ละจากศีรษะเล็ก ซันชุ่นติงที่บัดนี้มุดจากชายเสื้อแขนออกมาด้านนอก มองเด็กหนุ่มผู้เกาหัว ทำหน้าแบบไม่รู้จะพูดอย่างไรดีด้วยแววตากลมโตสีดำเข้มอย่างไร้เดียงสาสามส่วน อยากเห็นใคร่รู้อีกเจ็ดส่วน

“ใครกล้าพูด ยายแก่ขูดเลือดขูดเนื้อ อยากได้ก็ไปคิดบัญชีกับเซี่ยจิ่วของคุณสิ!”

มืออีกข้างที่ว่างโบกไปมาเป็นเชิงว่าไม่ต้องกล่าวอะไรอีก ร่างสูงโปร่งทรุดลงนั่งอย่างช้าๆ พลางสะบัดไล่ความเปียกชื้นบนเสื้อผ้าและเรือนผมตน ขณะที่ดวงตาคู่นั้นที่เคยว่างเปล่าอย่างน่าใจหายมองตามติดไปยังร่างบอบบางของหญิงสาวผู้นั้นที่เดินจากไป

ท่ามกลางผู้คนอันคับคั่งบนถนนใหญ่ ใบหน้าเนียนใสอ่อนหวานที่ความหงุดหงิดงุ่นง่านมิอาจลดทอนความน่ามองได้นั่น ทำให้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแผ่วเบา

ดวงตาเป็นประกายพราวระยับไหวอย่างรื่นรมย์


........สักนิดก็ไม่คล้าย สักหน่อยก็ไม่เหมือน....


หญิงสาวนางนั้นไม่มีสิ่งใดเหมือน 'คนผู้นั้น' สักนิด แต่ถ้าทำให้เจ้าของอ้อมแขนอบอุ่นที่โอบอุ้มตนอยู่นี้กลับมามีชีวิตชีวาและร่าเริงเช่นเดิมได้ ซันชุ่นติงก็จะปิดหูข้างหนึ่ง ปิดตาอีกสักข้างลืมเลือนเหตุการณ์ครั้งแรกแสนไม่น่าประทับใจนี้ไปแล้วกัน






.....................................................


Talk Zone : 

ปู่อู๋นี่ท่าทางจะชอบความท้าทายมากจริงๆ ชอบแนวสาวเปรี้ยว สาวดุสินะคะ อ่านบทแปลแล้วนึกครึ้มแต่งแดรบเบิ้ลเฉยเลย เพราะรู้สึกว่าปู่อู๋เป็นผู้ชายแบบที่ชอบม๊ากกก //เติม 'ก' ไก่อีกสามกิโลเมตร แนวหน้าใสใจทราม เอ๊ย หน้าใส แต่ในความร่าเริงและดูเหมือนมองโลกในแง่ดีด้วยรอยยิ้มซ่อนอะไรไว้มากมายน่ะค่ะ >////<

เหมือนจะแอบ 51 เลยค่ะท่อนสุดท้าย ฮาาา