วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

[OS] 盗墓笔记 - Spell - [51]

盗墓笔记  - Spell -  [ABO Dynamics] 

: Fandom :
Daomu Biji (盜墓筆記)

: Genre :
AU , Omegaverse [Alpha/Beta/Omega Dynamics]

: Rate :
R

: Pairing :
51
吴老狗 x  张启山
อู๋เหลาโก่ว x จางฉี่ซาน



: Note :

เป็นลักษณะวงจรความสัมพันธ์ของพวกหมาป่าที่จะมีจ่าฝูง ตัวเมีย ลูกฝูง อยู่ในกลุ่มสังคมค่ะ ในไทยไม่ค่อยนิยมงานแนวนี้เท่าไหร่ แฟนฟิคชั่นภาษาต่างประเทศจะมีเยอะกว่า


**แนวเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความนิยมเฉพาะกลุ่มนะคะ**


*ก็อปคำอธิบายมาจากสหายหมีอย่างหน้าด้านค่ะ ฮา*


เพื่อความต่อเนื่องและได้อรรถรส ย้อนไปอ่าน Sense ตอนก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ XD







เหตุผลที่อู๋เหลาโก่วเลือกใช้วิธีการที่ออกจะขี้โกงและร้ายกาจไปสักหน่อย ในการจู่โจมอีกฝ่ายในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด นั่นก็เพราะว่าช่วงที่อาการ 'ฮีท' กำเริบ สติสัมปชัญญะจะค่อยๆ เลือนหาย แทนที่ด้วยความต้องการตามสัญชาตญาณสืบพันธู์

สำหรับคนที่ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดีและไร้ที่ติแบบพ่อพระใหญ่จางแล้ว การที่ตัวเองขาดสติจนคล้อยตามความต้องการของร่างกายเป็นอะไรที่พังทลายศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างที่สุด

เดิมทีเขาคิดว่าคนคนนี้คงไม่เคยมีใครหาญกล้ำกรายหรือสามารถสร้างตราประทับเหนือร่างกายได้

หากผิดไปถนัดใจ...
ยามที่ดวงตาคู่นี้เห็นสัญลักษณ์ที่แม้จะเลือนรางและอ่อนจางด้วยวันเวลาที่ล่วงเลย ความรู้สึกหลายอย่างก็พลุ่งพล่านปะดังปะเดในใจอย่างเงียบงัน

ภายใต้ใบหน้าคลี่ยิ้มและน้ำเสียงรื่นเริง ราชาสุนัขรู้สึกริษยาและเสียดายไปพร้อมกัน

ริษยา.... คนแรกที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของและตีตราลงบนผิวกายคนคนนี้
และเสียดายที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ฝังคมเขี้ยวลงประทับตราตั้งแต่แรกเริ่ม

"ท่านจางตอนเด็ก.... ต้องสวยมากแน่ๆ"

นัยน์ตาเรียวยาวคมดุสีดำสนิท เช่นเดียวกับเส้นผมสีดำขลับสีเข้มราวกับขนนกกา โดดเด่นบนผิวขาวจัดเฉกเข่นคนทางเหนือ คาดว่าเพราะยามเยาว์วัยเจ้าตัวมักอาศัยในที่อากาศหนาวเหน็บ จึงได้ติดนิสัยสวมใส่อาภรณ์มิดชิดจรดไปถึงฝ่ามือเช่นนี้

รอยยิ้มบางแย้มขึ้นบนใบหน้าหมดจดสดใสดูไร้พิษสง ราวกับเขียนทุกความรู้สึกไว้บนนั้น

หากใครเลยจะล่วงรู้ ผู้ที่อ่านง่ายที่สุดหาใช่ผู้ใสซื่อไร้เดียงสา แต่เป็นผู้ที่เก็บงำซ่อนเร้นตัวตนได้ดียิ่งกว่าผู้ใดตั้งหาก

เปิดเผย แต่ไม่บอกเล่าทุกสิ่ง ให้เห็นแค่เฉพาะสิ่งที่ปรารถนาจะมอง

ฉะนั้นยามที่ได้เห็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีและสะกดกลั้นความปรารถนาตนเองได้กำลัง หอบหายใจอยู่ตรงหน้า เขาย่อมรู้สึกรื่นรมย์กว่าปกติ

เจ้าของห้องหอบหายใจหนักด้วยความเสียวซ่านที่แล่นระริกไปทั่วร่างกาย ทุกรูขุมขนคล้ายกับจะกรีดร้องออกมา เมื่อเลือดที่เดือดจัดในกายร้อนเร่าและอยากระบายความอัดอั้นที่สุมอยู่ภายในออกมา

เสียงครางเครือแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากริมฝีปากบางที่เพียรพยายามกักเก็บเสียงของตนไว้ในลำคอ

มือหยาบกร้านจากการกรำงานหนักด้วยวิชาชีพเลื่อนไล้ลงใต้ร่มผ้า สัมผัสผิวเนื้อร้อนผะผ่าว พลางโน้มลงคลอเคลีย ลมหายใจระรดอ้อยอิ่งตรงริมหู

"ท่านจาง..."
เสียงทุ้มนุ่มฟังดูเชื่องช้าและเนิบนาบกว่าความเป็นจริง ร่างกายที่อ่อนระทวยด้วยสัญชาตญาณเกร๊งจนสั่น ความทรงจำที่คละคลุ้งจากตะกอนเก่าไม่มีเรื่องดีสักอย่าง สติพร่ามัวเหือดหายไปพร้อมกับอาการสั่นสะท้านที่ควบคุมตัวเองไม่ได้รุนแรงขึ้น


ราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง ตัวเขาที่แสนรังเกียจและต่อต้านจนเลือกที่จะหนีจากอัลฟ่าเดิมมา สุดท้ายก็วนกลับมาซ้ำรอยเดิมอย่างไม่อาจหนีได้อีก


กลิ่นเฉพาะตัวของโอเมก้ายามนี้อบอวลและฟุ้งกระจายไปทั่ว กระตุ้นเร้าจนเขาที่พยายามแตะต้องอีกฝ่ายอย่างใจเย็นเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้บ้างแล้ว มือที่โลมไล้ไปทั่วร่าง จึงค่อยๆ เลื่อนลงต่ำบนสะโพกเพรียวและกดย้ำลงไปในด้านล่าง นิ้วที่นวดเคล้นลงไปทีละหนึ่ง สอง และสามตามลำดับสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดายด้วยหยาดหยดของสารหล่อลื่นที่หลั่งรินออกมาจากร่างกายในภาวะนี้

คนในอ้อมแขนสะดุ้งเฮือก ลมหายใจถี่กระขั้นขึ้นในจังหวะที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกจุดอ่อนไหวข้างใน เขาได้ยินเสียงฟันขบกันกรอดๆ อย่างอดทนอดกลั้น

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง และจงใจเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงครางต่ำที่ฟังดูแแว่วแผ่วจากที่ไกลๆ ดังขึ้น  กระแสอารมณ์และความปรารถนาที่เต้นระริกทำให้คนที่เข้มแข็งเสมอมาพังทลายจนแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน

ดวงตาสีดำสนิทราวกับหยดหมึกเคลือบคลอไปด้วยความรู้สึกต้องการและวอนขอ พร้อมกับริมฝีปากที่เผลออ้าออกจากการหอบหายใจ เป็นการยั่วยวนตามธรรมชาติ แขนกระชับร่างในอ้อมกอด โอบให้ชิดใกล้จนปลายทางด้านล้างเสียดสีกับของเขา

ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับประคองร่างอีกฝ่ายแล้วแทรกกายเข้าไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อดื่มด่ำกับความรู้สึกของการได้ครอบครองเป็นเจ้าของคนคนนี้

แรงกระทั้นเป็นจังหวะซึ่งกำลังขยับโยกเข้ามาในร่าง ทำให้หัวสมองของจางฉี่ซานขาวโพลนไปชั่วขณะ แล้วค่อยๆ จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ในความมืดมิดที่กำลังจะได้สัมผัสแสงสว่างปลายอุโมงค์ ที่เขานึกว่าตนเองจมหายไปกับมันแล้ว กลับยังมีส่วนที่ลึกลงไปกว่านั้น

ความสุขสมของร่างกายที่ถูกตอบสนองตามความเรียกร้องของสัญชาตญาณได้ถูกเติมเต็มจนล้นปรี่ สตินึกคิดทั้งหมดจางหายราวกับไม่เคยมีมาก่อน จู่ๆ มือที่กำลังตะเกียกตะกายเพื่อกลับไปสู่แสงสว่างคล้ายกับจะอ่อนแรงลง

เขา....ทิ้งตัวลงสู่ความมืดมิดที่อ้าแขนรอรับอยู่

มือผลักร่างของคนที่อยู่ด้านบนโดยแรงจนหงายหลัง ส่วนที่เชื่อมต่อกันยังคั่งค้างอยู่ แม้จะเปลี่ยนตำแหน่งจากล่างสู่บน

ชายหนุ่มเบิกตาค้างด้วยความตกตะลึง ก่อนจะหัวใจแทบหยุดเต้นลงจริงๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นนุ่มอุ่นที่บดเบียดลงมา สองมือประคองใบหน้าของเขาไว้ แล้วมอบจูบที่แสนเหลือเชื่อ

และแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อร่างสมส่วนนั้นวางมือลงบนแผ่นอกแล้ว ขาเพรียวยาวแนบชิดกับสีข้างยามที่เจ้าตัวหยัดกายขึ้นคร่อมกดจนร่างกายเขาแทบจมฟูก

ดวงตาแลเลยจากสะโพกเพรียวไปตามหน้าท้องแบนราบที่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์สวยงาม ความร้อนที่เดือดจัดในกายทำให้ผิวขาวจัดแดงระเรื่อมีหยดเหงื่อประปรายไหลเลื่อนลงมา

ท่ามกลางแสงเทียนที่ส่ายไหวในความมืด มีเงาร่างที่ขยับไหวล่อแสงเทียนและเสียงหอบครางต่ำดังผสานไปตลอดคืน








ลมโชยพายพัดนอกหน้าต่าง เสียงจิ้งหรีดเรไรแผ่วพลิ้วในสายลม
ยามเช้าของรุ่งอรุณถัดมา ค่อยๆ มาเยือนห้องนอนซึ่งผ่านพ้นความเร่าร้อนไปในย่ำค่ำ

ร่างกายที่ร้าวระบมไปทุกส่วนกับสัมผัสเหนียวเหนอะยังไม่ทำให้ตกตะลึงได้เท่ากับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของผู้ถือวิสาสะนอนกอดก่ายตนไว้เต็มอ้อมแขน ลมหายใจผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเป็นภาวะของคนหลับสนิท

ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยโทสะ และยามที่ขยับตัวหนีห่าง ด้านล่าง.... ในช่องทางที่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าล่วงล้ำเข้ามา กลับรู้สึกได้ถึงหยาดหยดที่คั่งค้างอยู่ภายใน

เร็วกว่าความคิด ขาที่เริ่มกลับมามีกำลังง้างถีบร่างของคนตรงหน้าโดยแรง!

เสียงของหนักตกพลั่กดังสนั่น ตามด้วยเสียงร้องโอดครวญจากความเจ็บน่าหงุดหงิด ก่อนเจ้าตัวจะโงหัวขึ้นมาพาดกับขอบเตียงตาใส ผู้เป็นเจ้าของห้องกัดฟันกรอด กระชากผ้าห่มมาคลุมร่างอย่างเสียไม่ได้เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่นั้น


“เจ้ารู้ช่วงเวลา ‘ฮีท’ ของข้าได้อย่างไร!”





แม้เอ่ยปากถามออกไปเช่นนั้น แต่ในใจของจางฉี่ซานกลับระบุตัวการณ์ที่อยู่เบื้องหลังเหตุวิปโยคของตนเองได้แล้ว ยามนั้นคิดว่าคงหวาดระแวงไปเองกับท่าทีดูไม่น่าไว้ใจของสหายสนิท และคงเป็นการมองในแง่ร้ายมากเกินไป สนิทสนทเอื้อเฟื้อกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ไม่มีเหตุผลใดให้ ‘คนคนนั้น’ ทำเรื่องที่เหมือนหักหลังกันได้

ทั้งที่น่าจะเอะใจสักนิด... ที่จู่ๆ กลับมีประเด็นเรื่องช่วงเวลาของเขากับป้านเจี๋ยหลี่ขึ้นในวงสนทนา

“....ให้เจ้าช่วย?”

ในคราวนั้นเขาถามกลับไป ดวงตาหรี่ลงเป็นสัญญาณเตือน ว่าอย่าได้ก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัว แต่อีกฝ่ายที่ชินชาเสียแล้วก็หาได้สนใจไม่ และตอบกลับมาอย่างรวดเร้ว

“ก็เจ้ากับท่านหลี่ลำบากมิใช่เหรอ? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าสบายมาก”

“.....”

ในมุมมองของผู้เหนือกว่าเช่น ‘อัลฟ่า’ การทำเช่นนั้นถือว่า ‘เล็กน้อย’ ก็จริงอยู่ แต่สำหรับ ‘โอเมก้า’ อย่างเขาทั้งคู่แล้ว เป็นการเสี่ยงเกินไป

และกับ ‘อัลฟ่า’ ผู้มีชื่อเสียงเรื่องความเจ้าชู้เลื่องลือและมี ‘โอเมก้า’ ในสังกัดปรนนิบัติพัดวีมากมาย จะมีหลักประกันใดที่ป้องกันได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้คิดรวบพวกตนเข้าเป็นหนึ่งในสมบัติครอบครอง

“สรุป?”
ความเงียบในวงสนทนาเป็นสิ่งที่เอ้อร์เย่ว์หงไม่ใคร่จะชื่นชอบนัก หนุ่มใหญ่วัยสามสิบปลายจึงได้เอ่ยปากถามซ้ำ

“เลือกเอาระหว่างไม้เท้ากับดาบข้าอยากตายด้วยอะไร?”
คำตอบไร้เยื่อใยและดุดันสมเป็นนายทหารผู้แข้งแกร่งก็ไม่ผิดดังคาดแต่อย่างใด หากเจ้าของคณะงิ้วชื่อดังก็ยังไม่สิ้นความพยายาม

“พวกเจ้าต้องเก็บตัวอยู่ด้วยกันประจำ ไม่กลัวโดนคนอื่นครหารึไงว่ากินกันเอง”

เหตุผลที่ยกมากระเส้าเลื่อนลอยและฟังไม่ขึ้น นายทหารสบตากับผู้ได้ฉายา ‘ปีศาจเฒ่าไม้เท้าแดง’ เป็นเชิงรู้กันอย่างสงบ

“ถ้าให้เจ้าช่วยข้ายอมกินยานอนหลับให้พ้นช่วงฮีทดีกว่า....”

“โหดร้าย ! พูดเหมือนข้าไม่เคยเห็นร่างเปลือยพวกเจ้า!! มากกว่าที่คนอื่นได้เห็นอีก ! “

เสียงแง่งอนราวกับเด็กน้อยถูกขัดใจ เนื่องด้วยเพื่อนผลักไสจากกลุ่ม กล่าวประท้วง เป็นเด็กน้อยจริงๆ ทำคงน่าเอ็นดูและชวนให้มองอย่างอ่อนอดอ่อนใจได้อยู่ แต่บัดนี้ผู้ทำมีอายุอานามมากโขเกินกว่าผู้เยาว์มานานแล้ว สิ่งที่ได้รับคือถ้อยคำกีดกั้นเย็นชาและสายตาแข็งกร้าวแทน

“แค่ดูไปก็พอเอ้อร์เย่ว์หง...”


เพราะอัลฟ่าน่ะ.... ไม่น่าไว้ใจสักคน




Fin?

ไหน... ไหนใครบอกจบส่วนของ 51 แล้วกันคะ? //เหม่อมองฟ้า แต่ตอนหน้าคงเป็นบทสรุปของคู่นี้แล้วล่ะค่ะ

เพราะจุดประสงค์ตอนต่อจริงๆ คืออยากร่วมตี้ท่านจางกับท่านหลี่ไปรุม เอ๊ย เอาคืน ท่านอาจารย์เย่ว์หงนะคะ ฮา

ปล.คู่ต่อไปของรุ่นปู่นี่เป็น.... 24 ค่ะ อจเย่ว์หงกับเฉินผีอาซื่อ XD


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น